แชร์

ห้องเรียนผิวอักเสบ INFLAMMATION

อัพเดทล่าสุด: 22 ส.ค. 2025
19 ผู้เข้าชม

       เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยผิวอักเสบมาก่อน ไม่จะเป็นน้อยเป็นมากก็ล้วนรบกวนจิตใจ ทำให้ผิวหน้ามีจุดบกพร่อง พออาการอักเสบหายก็ดันทิ้งรอยดำเอาไว้อีก บำรุงผิวกันวนไปจนกว่าผิวจะกลับมาใสเรียบเนียน ทีเอ็นพีจึงขอพาทุกคนมาไขข้อสงสัยว่าผิวอักเสบเกิดขึ้นได้ยังไง พร้อมแนะนำสารสกัดที่ช่วยดูแลผิวอักเสบเพื่อให้ผิวกลับมาใสปิ๊ง     การอักเสบเป็นอาการตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อมีการบาดเจ็บหรือระคายเคืองระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะทำงานทันที โดยสิ่งที่จะสามารถก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ เช่น เชื้อก่อโรค สิ่งแปลกปลอม สารเคมีบางอย่าง หรือ เพื่อตอบสนองต่อโรคหรือการบาดเจ็บทางกายภาพ การอักเสบเป็นภาวะตอบสนองของเนื้อเยื่อและหลอดเลือดต่อสิ่งกระตุ้นที่เป็นอันตราย ซึ่งการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ เชื้อราเป็นสาเหตุหนึ่งของการอักเสบ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ซึ่งเป็นเชื้อที่พบอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่ว ๆ ไป สามารถก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้ โดยเชื้อจะทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง รวมทั้งสิวที่อยู่บนใบหน้า
     เมื่อผิวเกิดการบาดเจ็บหรือติดเชื้อขึ้นมา เม็ดเลือดขาวจะเข้ามาทำงานทันที โดยเม็ดเลือดขาวจะหลั่งสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ (Proinflammatory Cytokines) เช่น Tumor Necrosis Factor (TNF), Interleukin-1 (IL-1), Interleukin-6 (IL-6), IFN, Colony Stimulating Factors (CSFs), Macrophage Inflammatory Protein 10, Interleu kin-8 (IL-8), Monocyte Chemoattractant Protein-114 และมีการผลิตอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species, ROS) การหลั่งสารเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดบริเวณที่มีการบาดเจ็บหรือติดเชื้อขยายตัว เลือดจึงไหลเวียนมามากขึ้นทำให้เกิดอาการร้อนและแดง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ระยะห่างระหว่างเซลล์บุผนังหลอดเลือด (Endothelial Cell) ขยายตัว ซีรัม โปรตีนและของเหลวจึงรั่วออกจากหลอดเลือด ทำให้บริเวณที่อักเสบเกิดอาการ บวม อีกทั้งมีผลกระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์ (Complement System) ระบบสลายลิ่มเลือด (Fibrinolytic System) ระบบการแข็งตัวของเลือด (Clotting System) และระบบ Kinin (Kinin System)

 

     เมื่อระบบสัญญาณเตือนภัยผิวดังขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองอย่างทันที เพื่อปกป้องและเริ่มกระบวนการซ่อมแซมหรือรักษาผิว ซึ่งระบบรักษาจะไม่หยุดทำงานจนกว่าจะกลับเป็นปกติ ถ้าหากระบบดีการอักเสบจะถูกรักษาอย่างรวดเร็ว แต่หากระบบมีกำลังไม่เพียงพอต่อการรักษาจะทำให้บางครั้งการอักเสบกินระยะเวลายาวนานจนกลายเป็นการอักเสบที่เรื้อรัง (Chronic Inflamation)

"การอักเสบของผิวหนังเป็นสัญญาณเตือนว่าผิวจำเป็นต้องได้รับการรักษา"

สิ่งกระตุ้นการอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ :
ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Stressors) เช่น รังสียูวี แสงสีฟ้า จุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย มลพิษ สารก่อภูมิแพ้ หรือสารเคมีรุนแรง สิ่งเหล่านี้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการอักเสบได้
พฤติกรรมในการดำเนินชีวิต (Lifestyle Habits) หากต้องการลดอาการอักเสบ การบริโภคน้ำตาล แอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์จากนม และคาร์โบไฮเดรต ล้วนเป็นนิสัยการบริโภคอาหารที่ทำให้รอยแดงและการระคายเคืองที่เกี่ยวข้องกับการระคายเคืองรุนแรงขึ้น นอกเหนือจากการควบคุมอาหารแล้ว ปัจจัยการดำเนินชีวิตอื่นๆ ยังทำให้เกิดการอักเสบอีกด้วย  เช่น ระดับความเครียดและพฤติกรรมการนอนหลับที่สามารถส่งผลต่อการอักเสบได้อย่างมาก
ความร้อน (Heat) กิจกรรมอะไรก็ตามที่มีความร้อนเกิดขึ้น เหงื่อก็จะตามมา เหงื่อที่อยู่ตามรูขุมขนจะก่อให้เกิดผื่นความร้อน นำไปสู่ผิวหนังอักเสบโดยมีรอยแดง ตุ่ม และอาการคัน
พันธุกรรม (Genetics) อาการอักเสบสามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม เช่น โรคโรซาเซีย (Rosacea) ผิวเลือดฝาด เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สามารถช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองได้ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่ผ่อนคลายสิว (Acne)
     สิวคือการอักเสบของหน่วยรูขนและต่อมไขมัน มักเกิดบริเวณผิวหน้า คอ และหลัง ช่วงวัยรุ่นจะเป็นสิวมากที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน Dihydrotestosterone (DHT) ยิ่งระดับฮอร์โมนสูงจะส่งผลต่อการทำงานของเกราะป้องกันโดยรวมของผิวหนังและก่อให้เกิดการอักเสบได้มากกว่าปกติ สิวจะเป็น ๆ หาย ๆ แม้อายุมากกว่า 40 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดสิวร่วมด้วย

สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด
1. สิวชนิดไม่อักเสบ (Non-Inflammatory Acne)
     เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ไม่มีการอักเสบ เกิดจากการระคายเคืองจากไขมัน (sebum) และเศษของผิวหนังชั้น corneum ที่หนาตัวผิดปกติ เกิดเป็นสิว 2 ชนิด คือ

  • สิวหัวปิดหรือสิวหัวขาว (Closed or Whitehead Comedones) มีลักษณะเป็นตุ่ม กลม เล็ก แข็ง สีเดียวกับผิวหนัง และ 75% ของสิวชนิดนี้มีโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบได้ 
  • สิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ (Open or Blackhead Comedones) มีลักษณะเป็นตุ่ม กลม เล็ก แข็ง รูเปิดเป็นสีดำ เกิดจากเชื้อสิว ไขมัน และเศษผิวหนังอุดตัน
2. สิวชนิดอักเสบ (Inflammatory Acne)
     เป็นสิวที่มีการอุดตันของรูขนและมีการอักเสบร่วมด้วย ส่วนมากพัฒนามาจากสิวหัวปิดที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณรูขุมขน หลังรักษาหายแล้วก็ยังเหลือร่องรอยของสิวอยู่ เช่น รอยแดง รอยดำ หลุมแผลเป็น เป็นต้น สิวอักเสบมี 4 ชนิด คือ
  • Papule มีลักษณะเป็น ตุ่มนูน สีแดง ขนาดเล็ก
  • Pustule มีลักษณะเป็นตุ่มหนอง ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นตุ่มหนองชนิดตื้น (Superficial Pustule) และตุ่มหนองชนิดลึก (Deep Pustule) มีอาการเจ็บร่วมด้วย
  • Nodule มีลักษณะเป็นก้อนสีแดงนูนขนาดใหญ่ บางครั้งมีหลายหัวสิวที่อยู่ติดกัน หายแล้วมักมีรอยแผลเป็น
  • Cyst มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงขนาดที่ใหญ่ขึ้น และมีความนุ่ม ภายในถุงมีหนองปนเลือด หายแล้วมักมีรอยแผลเป็น
การแก่ชรา (Aging)
     การอักเสบยังเกี่ยวข้องกับการแก่ชราตามธรรมชาติของผิวอีกด้วย เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นผิวชั้นนอกได้รับความเสียหาย เกราะป้องกันผิวทำงานได้แย่ลง และคอลลาเจนในผิวได้รับผลกระทบ ผลพลอยได้จากการอักเสบคือร่างกายมีการผลิตเอนไซม์ metalloproteinases มากขึ้น ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจนในผิว และยังไปลดความสามารถของอีลาสตินลง ทำให้ผิวไม่ยืดหยุ่นเหมือนเดิม ผลลัพธ์จากการอักเสบนี้ส่งผลให้เรามองเห็นความไม่เรียบเนียนของผิว เกิดผิวหย่อนคล้อย มองเห็นริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ชัดเจน และผิวขาดความมีชีวิตชีวา

จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)
     ในระหว่างการรักษา ระบบภูมิคุ้มกันจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่อักเสบ ซึ่งรวมถึงการส่งเมลานินพุ่งสูงขึ้นไปยังบริเวณที่ได้รับผลกระทบ เมลานินจะช่วยปกป้องผิวบริเวณนั้นจากแสงแดด แต่บางครั้งหลังการรักษาของร่างกายเสร็จสิ้น สิ่งที่หลงเหลือไว้คือรอยดำและจุดด่างดำ และรอยพวกนี้จะอยู่กับเรานานยิ่งกว่าการอักเสบซะอีก 

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

     ภาวะขาดน้ำสามารถสร้างความเสียหายให้กับร่างกายทั้งหมดรวมถึงผิวหนังด้วย ซึ่งผิวที่ขาดน้ำส่งผลกับโปรตีนในผิวอย่างอควาพอลิน (Aquaporin) ซึ่งเป็นโปรตีนเป้าหมายในการรักษาภาวะขาดน้ำและผิวขาดน้ำ การอักเสบส่งผลให้เอนไซม์ Hyaluronidase มีมากขึ้น ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายกรดไฮยาลูลอน (Hyaluronic Acid) ในชั้นผิว ทำให้ความชุ่มชื้นในผิวลดลง ส่งผลไปยังเกราะป้องกันผิว เมื่อเกราะป้องกันผิวขาดน้ำจะอ่อนแอมากขึ้น สุดท้ายก็ป้องกันความเครียดจากสิ่งแวดล้อมได้ไม่ดี
เรสเวอราทรอล (Resveratrol)
     เรสเวอราทรอลมีกลไกการออกฤทธิ์ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ เนื่องจากเรสเวอราทรอลมีกลไกการยับยั้งการแสดงออกของยีน Activator Protein-1 (AP-1) และยีน Nuclear Factor Kappa B (NF-kB) โดยยีน AP-1 เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตเอนไซม์ metalloproteinases (MMPs) ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ในการทำลายโครงสร้างคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอย ส่วนยีน NF-kB เป็นตัวสร้างสารก่อการอักเสบ ส่งผลให้ผิวหนังถูกทำลายและก่อให้เกิดริ้วรอยได้ นอกจากนี้เรสเวอราทรอลสามารถป้องกันการทำงานที่ผิดปกติของไมโทคอนเดรีย (Mitochondrial Dysfunction) ที่เกิดจากการกระตุ้นของสารต้านอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species หรือ ROS) ส่งผลให้เกิดการชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์ได้

เจนเทียน่า (Gentiana)
     สารสกัดจากรากเจนเทียน่าสามารถยับยั้งการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม โดยกลไกพิเศษเข้าไปยับยั้ง Dual Inflammation โมเลกุลของการอักเสบ (Prostaglandin E2 และ Leukotriene C4) โดยยับยั้งการทำงานของ Cyclooxygenase และ Lipoxygenase ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ จึงช่วยลดการเกิดฝ้า ลดอาการอักเสบและรอยแดงที่ผิวที่เกิดจากการได้รับแสงแดด

แพลงก์ตอน (Plankton)
     Marine Exopolysaccharide สกัดจากแพลงก์ตอน ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เพื่อป้องกันการสัมผัสของแบคทีเรียที่อาจก่อโรค (Potentially Pathogenic Bacteria) และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดของผิว เพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดการอักเสบ และช่วยลดการเกิดความไวต่อปฏิกริยา (Reactivity) ของผิว ฟื้นฟูการทำงานของเกราะป้องกันผิว ลดความแห้งกร้านของผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระจ่างใสขึ้น

ใบบัวบก (Centella asiatica)
     ใบบัวบกมีสารสำคัญ ได้แก่ Asiaticoside, Asiatic Acid, Madecassoside และ Madecassic Acid ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและฟื้นฟูผิวใหม่ (Skin Regeneration) ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ และช่วยลดเลือนริ้วรอย (Anti-Wrinkle) ช่วยให้ผิวบริเวณที่เกิดสิวและผื่นแดงจากการอักเสบลดลง ช่วยประโลมผิวอย่างอ่อนโยน ปกป้องผิวจากมลภาวะ เหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย รวมถึงผิวแห้งและผิวมัน

ลาเวนเดอร์ (Lavender)
     สารสกัดลาเวนเดอร์สายพันธุ์ Agastache Mexicana มีสารสำคัญกลุ่ม Acacetin และ Tilianin ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการทำงานของ NF-kB ส่งผลให้ลดการเกิดการอักเสบและรอยแดงบนผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น พร้อมลดการขยายตัวของหลอดเลือด และเพิ่มการทำงานของเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียความชุ่มชื้น

     การอักเสบในผิวหนังทุกคนเคยผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าการอักเสบนั้นจะมีสาเหตุจากอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือดูแลผิวของเราให้ดีที่สุดเพื่อป้องกันการทิ้งรอยหลังการอักเสบ และป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบซ้ำ ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติจะช่วยลดอาการอักเสบในผิวลงได้ เป็นการใช้ธรรมชาติเข้ามาช่วยเหลือ แต่ถ้าหากผิวมีการอักเสบมากเกินไปจนเกิดจุดที่เครื่องสำอางเอาไม่อยู่แล้ว ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาปัญหาผิว แต่ถ้าอยากสร้างแบรนด์สกินแคร์ลดสิว ปกป้องผิวจากริ้วรอยและความหมองคล้ำ ให้ทีเอ็นพีเป็นตัวเลือกของคุณ เริ่มต้นสร้างแบรนด์หลักหมื่นเท่านั้น ครบ จบ พร้อมขาย! 

ที่มา 
Skin Inc

บทความที่เกี่ยวข้อง
R&D Talk นักวิจัยขอเล่าเรื่อง EP.30 การแบ่งบรรจุเครื่องสำอางเพื่อขาย ณ จุดบริการ (Refill Station)
ช่วง เดือนตุลาคม 2566 ประเทศไทยได้มีความก้าวหน้าในเรื่องของความยั่งยืน นั่นก็คือ การแบ่งบรรจุเครื่องสำอางเพื่อขาย ณ จุดบริการ หรือที่เรียกกันว่า เครื่องสำอางรีฟิล เป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ซ้ำของภาชนะบรรจุ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นเพียงการเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบางอย่าง อาจจะยังทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้น้อย แต่ในอนาคต พฤติกรรมของผู้บริโภคจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแน่นอน เพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืน
19 พ.ค. 2025
จบปัญหาผิวด่างดำได้ แค่รู้จัก 5 กลไกความหมองคล้ำ!
ปัญหาผิวหมองคล้ำไม่กระจ่างใสที่รบกวนใจใครหลาย ๆ คน ทีเอ็นพีขอบอกเลยว่ากว่าผิวจะขาวใสไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายกลไกที่สามารถทำให้ผิวเราหมองคล้ำลงได้ ถ้าอยากผิวใสต้องบล็อกให้ครบทุกกลไกการสร้างเม็ดสีเมลานิน ✨
24 เม.ย. 2025
Trend 2025 Self Care Practices With Alternative Product เทรนด์ดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้นอย่างยั่งยืน
อัปเดตเทรนด์ดูแลตัวเองปี 2025 เพื่อการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน รวมมาให้ครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ Head to Toe ให้คุณหันกลับมารักตัวเองมากกว่าที่เคย
17 ม.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ