Skin Flooding เทรนด์เกาหลีผิวฉ่ำน้ำ ผิวดีไม่ต้องมีฟิลเตอร์

Last updated: 27 มิ.ย. 2566  |  1069 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Skin Flooding เทรนด์เกาหลีผิวฉ่ำน้ำ ผิวดีไม่ต้องมีฟิลเตอร์

     เทรนด์ “Skin Flooding” เทรนด์เกาหลีที่มาแรงในโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok มีจำนวนการเข้าชมมากกว่า 20 ล้านครั้ง เทรนด์การดูแลผิวแบบ Skin flooding นั้นมีมานานแล้ว แต่เพิ่งมาได้รับความนิยมในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมา หน้าหนาวที่ทำให้ผิวแห้งส่งผลให้ชาว TikTok ค้นหาวิธีดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพนี้ และเทรนด์น้ำท่วมผิวก็ถึงคราวที่ได้เฉิดฉาย กลายเป็นกระแสบำรุงผิวในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมานั่นเอง วิธีนี้จะทำให้คุณมีผิวที่เปล่งปลั่งและสดชื่นแม้ในวันที่แดดจัด






Skin flooding คือ การทาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นผิวหลายๆ ชั้น เพื่อเติมน้ำให้ผิวจนเพียงพอ ซึ่งการทามอยส์เจอไรเซอร์มากๆ จนดูเหมือนน้ำท่วมผิวช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ช่วงที่ดีที่สุดในการดูแลผิวด้วยวิธีนี้คือหลังล้างหน้า ซึ่งผิวจะมีความชุ่มชื้นอยู่สูงมาก ล็อกความชุ่มชื้นในผิวไม่ให้ระเหยออกไปภายนอกได้เป็นอย่างดี วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ



Skin flooding ฟังแล้วเหมือนต้องทาสกินแคร์ที่เยอะมากๆ จึงจะบำรุงผิวได้แบบ “น้ำที่ท่วมผิว” แต่ความจริงแล้ววิธีการบำรุงผิวนี้ง่ายกว่านั้นมาก ไม่มีความซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย ใช้ผลิตภัณฑ์ง่ายๆ เพียง 3-4 ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นสูงสุดให้ผิวและลดผิวลอกเป็นขุย รวมทั้งลดการเกิดสิวที่อาจเกิดขึ้นจากผิวที่แห้งกร้าน ซึ่งการทาผลิตภัณฑ์ลงบนผิวจนผิวฉ่ำน้ำนั้นจะคล้ายๆ เทรนด์ Slugging ที่โด่งดังใน TikTok เช่นกัน แตกต่างกันที่ Slugging คือการใช้ปิโตรเลียมเจลลี่ 100% มาทาลงบนผิวในปริมาณเยอะมากๆ จนผิวฉ่ำเงาแวววาวเคลือบไปด้วยความมันเหมือนเอาเมือกหอยทากมาเคลือบผิว ซึ่งวิธีนี้คนผิวมันและเสี่ยงเป็นสิวง่ายคงไม่ปลื้มเท่าไร เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการอุดตันได้ง่าย เพราะฉะนั้น Skin flooding ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ในวงการแพทย์ผิวหนัง วิธีดูแลผิวแบบนี้ก็พบเห็นได้เช่นกัน เป็นวิธีที่เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic acid เข้าไปก่อนลงมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันผิวแห้ง โดยดึงความชุ่มชื้นเข้าสู่ชั้นผิวที่ลึกที่สุด


  1. เทรนด์การดูแลผิวแบบน้ำท่วมผิวช่วยให้ผิวดูดซึมเนื้อเซรั่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวในระดับชั้นที่ลึกขึ้นอีกด้วย
  2. ลดผิวแห้งลอกเป็นขุย ฟื้นฟูให้ผิวกลับมาสุขภาพดี
  3. ช่วยลดความผิดปกติของเกราะป้องกันผิว เสริมการปกป้องพื้นผิวชั้นนอกเสมือนใส่เกราะให้ผิว ผิวดูอิ่มน้ำเรียบเนียนขึ้น
  4. เทคนิคนี้สำหรับคนผิวแห้งจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นโดยไม่อุดตันรูขุมขนหรือทำให้เกิดสิวและเป็นการเติมน้ำให้ผิวโดยไม่ระคายเคือง
  5. เหมาะสำหรับผิวผสมเนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสัมผัสบางเบาสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสัมผัสหนาเนื้อหนักที่เสี่ยงต่อการอุดตันจนเกิดสิวได้
  6. ช่วยให้แต่งหน้าได้ง่ายขึ้น ระดับความชุ่มชื้นของผิวสามารถส่งผลต่อการแต่งหน้าบนผิวได้  เช่น ผิวที่มีความชุ่มชื้นมากๆ จะให้ลุคที่ดูโกลว์ เมื่อทารองพื้นลงบนผิวก่อนที่ความชุ่มชื้นจะซึมเข้าสู่ผิวหมด ความชุ่มชื้นที่ผสมกับรองพื้นจะช่วยขับผิวให้ดูฉ่ำโกลว์อย่างธรรมชาติ ให้ผิวที่ดูเรียบเนียน ใส สะดุดตา แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือเมคอัพอาจจะไม่ติดทนนานและมันเยิ้มได้ง่าย


ช่วงเวลาที่ควรทำ Skin flooding คือก่อนนอน เพราะผิวของเราจะสูญเสียความชื้นในช่วงกลางวันที่ออกไปทำงาน และตอนที่เรานอนหลับ ดังนั้นการบำรุงวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายในช่วงกลางวันและเติมความชุ่มชื้นที่เสียในตอนกลางคืน

  • ผิวแห้งถึงแห้งมาก - ทำเป็นประจำทุกวันจนกว่าผิวจะกลับมาดีขึ้น แล้วค่อยเว้นช่วงความถี่ออกไปตามความเหมาะสม
  • ผิวมันและผิวผสม - ทำสัปดาห์ละ 1- 2 ครั้ง

1. ทำความสะอาดผิว

ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก่อนบำรุงผิวคือผิวต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง เพราะหากผิวไม่สะอาดวิธีการดูแลผิวแบบ Skin flooding ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ประสิทธิภาพที่ควรได้อย่างเต็มที่ก็ลดลง ผิวที่สะสมเหงื่อตลอดทั้งวัน ผิวที่ออกไปผจญกับฝุ่นควัน มลภาวะต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับการชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดผิวออกไป คุณคงไม่ปลื้มเท่าไรที่บำรุงผิวอย่างตั้งใจแต่กลับได้รับผลการบำรุงไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว อีกผลประโยชน์ที่ผิวจะได้รับจากการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงคือ สุขภาพผิวจะไม่ถูกทำลายโดยง่าย แค่หน้าสกปรกนิดเดียว ผสานรวมกับความมันที่ล้างออกไม่หมด บวกกับฝุ่นที่มาพร้อมแบคทีเรีย เท่านี้ผิวหน้าก็เกิดการอักเสบขึ้นมาได้แล้ว


ตัวอย่างสารทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิว
  • PEG-6 Caprylic/Capric Glycerides
  • Sodium Laurylglucosides Hydroxypropylsulfonate
  • Disodium Laureth Sulfosuccinate
  • Potassium Laureth Phosphate
  • Sodium Lauroamphoacetate
  • Sodium Lauroyl Sarcosinate
  • Decyl Glucoside
  • Lauryl Glucoside
  • Coco-Glucoside

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยนของ TNP












2. ฉีดสเปรย์เติมน้ำให้ผิว

หลังล้างหน้า ฉีดสเปรย์เติมน้ำให้กับผิวหน้าที่ยังหมาดๆ เพื่อล็อคความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวให้ยังอยู่กับผิวพร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปในขั้นตอนการทำความสะอาดผิว ขั้นตอนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นโทนเนอร์หรือเอสเซนส์แทนได้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในขั้นตอนนี้ต้องมีส่วนผสมของ Hyaluronic acid เพื่อเพิ่มระดับความชุ่มชื้นผิวให้มากขึ้น เพราะโมเลกุลของไฮยาจะทำการอุ้มน้ำได้มากกว่าสารอื่นๆ ทำให้ผิวหน้าฉ่ำน้ำได้ยาวนาน

ตัวอย่างสารออกฤทธิ์ในกลุ่มไฮยา
  • Hyaluronic Acid
  • Sodium Hyaluronate
  • Sodium Hyaluronate Crosspolymer
  • Sodium Acetylated Hyaluronate
  • Hydrolyzed Hyaluronic Acid
  • Hydrolyzed Sodium Hyaluronate
  • Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate
  • Potassium Hyaluronate

3.ลงเซรั่มบำรุงผิว

ตามด้วยเซรั่มที่มีความเบาบาง เกลี่ยง่าย ไม่หนักผิว หากในขั้นตอนก่อนหน้าคุณไม่ได้ใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมของไฮยา ในขั้นตอนการลงเซรั่มสามารถเลือกใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic acid ขั้นตอนนี้จะเริ่มเห็นถึงผิวที่มีความฉ่ำน้ำ เงาวาวมากขึ้น ผิวหน้าจะดูอิ่มฟูขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


ผลิตภัณฑ์ไฮยาของ TNP




4.จบด้วยมอยส์เจอไรเซอร์

ขั้นตอนสุดท้ายปิดด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อล็อคความชุ่มชื้นทั้งหมดไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว สังเกตในจุดที่ความชุ่มชื้นยังไม่เพียงพอ อย่างเช่น ร่องแก้มและใต้ตา สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นลงไปได้เพื่อให้ผิวฉ่ำน้ำอย่างทั่วถึง ผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์ควรคงความชุ่นชื้นในผิวได้มากกว่า 8 ชั่วโมง พร้อมเสริมเกราะป้องกันผิวของคุณ


ผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์ของ TNP




 

AURA NIGHT REPAIR SERUM


Did You Know รู้หรือไม่?

บริเวณ T-zone เป็นจุดที่ผิวมันได้ง่าย ในผู้ที่มีผิวมันอาจลงการบำรุงในส่วนนี้ให้น้อยลงกว่าจุดอื่นๆ เพื่อหลักเลี่ยงการอุดตันผิว


โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใน Skin flooding มักจะมีส่วนผสมของ Hyaluronic acid ใช้ได้กับทุกประเภทผิว แต่หากว่าปัญหาผิวบางอย่างต้องการการดูแลที่มากกว่าไฮยา อย่างเช่น 

ผิวมีความหมองคล้ำ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไวท์เทนนิ่งก็จะตอบโจทย์ปัญหาผิวได้มากขึ้น สารไวท์เทนนิ่งมีมากมายและสามารถเข้ากันได้กับไฮยาได้เป็นอย่างดี เช่น lactic acid, glycolic acid, kojic acid, ascorbic acid, alpha arbutin, tranexamic acid, niacinamide, glabridin เป็นต้น

ผิวมีริ้วรอย ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยลดเลือนริ้วรอยจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่น copper peptide, acetyl hexapeptide-8, ascorbyl glucoside, galactomyces ferment filtrate, retinol เป็นต้น

ผิวมีสิว ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยดูแลผิวเป็นสิวและลดอาการสักเสบของสิวลง เช่น salicylic acid, tree tree, willow bark, bakuchiol, niacinamide, green tea, silver, licochalcone A เป็นต้น




ข้อเสียที่พบได้ทั่วไปเลยคือเมื่อทาผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากหลายๆ ชั้น จะก่อให้เกิดขุยขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางอย่างไม่สามารถเข้ากันได้นั่นเอง ส่วนข้อเสียอีกอย่างอาจเกิดกับผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวง่าย เพราะอาจจะเกิดการอุดตันขึ้นได้ หากผู้ใช้พบว่าวิธีนี้ก่อให้เกิดการอุดตันขึ้นบนผิว ขอให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สุ่มเสี่ยงในการอุดตันผิว ส่วนการระคายเคืองนั้นขึ้นอยู่กับบุคคล เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกได้ว่าก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่ ส่วนมากในคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ผิวมักจะไวกับสารกลุ่มน้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้


     กระแสการดูแลผิวเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา TNP แนะนำว่าให้หยุดดูแลผิวตามกระแสผิดๆ แต่ดูแลผิวให้เหมาะสมกับประเภทผิวและปัญหาผิวจะดีกว่า เทรนด์ Skin flooding เป็นอีกหนึ่งการดูแลผิวที่ดี สามารถบำรุงผิวที่แห้งขาดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครั้งหน้าหากมีเทรนด์อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ผิวของคุณ รับรองว่าเราจะรีบนำมาบอกต่อทันทีค่ะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้