5 วิธี ถ้าอยากมีผิวดีต้องทำ

Last updated: 28 เม.ย 2566  |  846 จำนวนผู้เข้าชม  | 

5 วิธี ถ้าอยากมีผิวดีต้องทำ

     TNP ขอแชร์ทริคดูแลผิวที่ถูกต้อง ช่วยให้สุขภาพผิวดี พร้อมแนะนำการใช้สกินแคร์แต่ละสภาพผิว เพราะผิวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ทริคที่แนะนำวันนี้อาจจะทำให้คุณได้รู้ว่าตัวเองนั้นดูแลผิวแบบผิดๆ มาตลอด มาเริ่มต้นการดูแลผิวใหม่เพื่อผิวเรียบเนียน กระจ่างใส สุขภาพผิวดีกันค่ะ

“ผิวที่สะอาดคือผิวที่มีสุขภาพดี”

การทำความสะอาดผิวหน้าแบบดับเบิ้ลเริ่มต้นจากประเทศเกาหลีใต้ เป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผิวฉบับ K-Beauty และเริ่มมีอิทธิพลในประเทศอื่นๆ ถัดมา รวมถึงประเทศไทย การทำความสะอาดผิวแบบดับเบิ้ลจะมีคลีนเซอร์ 2 สูตร ในการทำความสะอาดครั้งแรกจะเน้นลบเมกอัพ กันแดดกันน้ำ และคราบความมันออกจากผิว ส่วนการทำความสะอาดต่อมาจะเน้นดึงสิ่งสกปรกที่ติดแน่นและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าออก พร้อมบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นสุขภาพดี ที่สำคัญการทำความสะอาดผิวหน้าขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล สภาพผิวที่แตกต่างกัน การทำความสะอาดในบางขั้นตอนก็มีความแตกต่างกันด้วย

ข้อดีของการทำความสะอาด 2 ครั้ง

  • คลีนเซอร์ตัวที่ 1 จะสลายเครื่องสำอาง ขจัดสิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • คลีนเซอร์ตัวที่ 2 จะจัดการกับปัญหาผิวโดยเฉพาะ ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก และช่วยบำรุงผิว
  • ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่น รูขุมขนอุดตัน และสาเหตุของสิวที่ยังหลงเหลืออยู่บนผิว
  • ช่วยให้ผิวสามารถซึมซาบสกินแคร์ที่บำรุงผิวหลังล้างหน้าได้ดีขึ้น
Tips: 
  • คลีนเซอร์ที่ทำความสะอาดผิวหน้าแล้วทำให้ผิวรู้สึกตึงหลังล้าง จะทำลายเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เนื่องจากดึงความชุ่มชื้นในผิวออกมามากเกินไปจนทำให้ผิวแห้งตึง
  • ดับเบิ้ลคลีนซิ่งทำตอนกลางคืน หรือวันที่แต่งหน้าเท่านั้น หากทำความสะอาดมากเกินไปอาจไปทำลายสมดุลของผิว ซึ่งกระทบถึงจุลินทรีย์ดีบนผิวด้วย
  • ทุกครั้งหลังทำความสะอาดผิวหน้าจำเป็นต้องตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นในทันที และเสริมด้วยสกินแคร์สูตรที่มีเซราไมด์ เพื่อช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว


เลือกคลีนเซอร์ให้เหมาะกับผิว




คลีนเซอร์ 1 เลือกที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น คลีนเซอร์ออยล์ น้ำมันสามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกและความมันบนผิวได้ และคุณสมบัติของน้ำมันจะดึงดูดน้ำมันด้วยกันเอง ซึ่งจะช่วยละลายเมกอัพที่ติดแน่น เหงื่อ และน้ำมันส่วนเกินที่สะสมอยู่บนผิว หรือหากไม่มีคลีนเซอร์ออยล์ ให้เลือกใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของไมเซลลาร์แทน เช่น ไมเซลลาร์วอเตอร์ โมเลกุลไมเซลล์ขนาดเล็กสามารถดึงสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนและความมันส่วนเกินออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คลีนเซอร์ 2 ใช้เจลหรือโคลนทำความสะอาดผิว โดยมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิว เช่น ว่านหางจระเข้ ชาเขียว ช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้น แอนตี้ออกซิแดนท์ และควบคุมความมัน เช่น คลีนซิ่งเจล และกุญแจสำคัญของการทำความสะอาดคือ การขจัดสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกินในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาสมดุลและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว





คลีนเซอร์ 1 แนะนำ คลีนซิ่งบาล์ม ที่มีส่วนผสมของน้ำมันธรรมชาติ เช่น เชียบัตเตอร์ ทานตะวัน มะพร้าว หรือโจโจบา เป็นต้น เนื่องจากสภาพผิวแห้งหากมีการทำความสะอาดที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ผิวแห้งกว่าเดิมและลอกเป็นขุย ดังนั้นจึงต้องเลือกคลีนเซอร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว

คลีนเซอร์ 2 เลือกที่มีส่วนผสมช่วยต่อต้านริ้วรอยและเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น แอนตี้เอจจิ้งคลีนเซอร์ หรือ ไฮเดรตติ้งคลีนเซอร์ ที่มีส่วนผสมของ วิตามินซี ไฮยาลูรอน องุ่น ชาเขียว หรือบาคูชิออล เป็นต้น เนื่องจากผิวที่แห้งกร้านมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยก่อนวัย

Tip: 

สำหรับผิวแห้งการดับเบิ้ลคลีนซิ่งไม่จำเป็นหากไม่ได้แต่งหน้าทุกวัน ใช้เพียงคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนก็เพียงพอต่อการทำความสะอาดผิวหน้า หากทำความสะอาดมากเกินไป จะเป็นการดึงเอาน้ำมันในผิวออกมามากเกินไป จากนั้นร่างกายจะตอบสนองโดยการผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวและการระคายเคือง



คลีนเซอร์ 1 ผิวผสมค่อนข้างที่จะหาคลีนเซอร์ที่ตอบโจทย์ยาก เนื่องจากสภาพผิวมีทั้งแห้งและมัน แนะนำให้เลือกคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ เช่น สกินแบริเออร์คลีนเซอร์ หรือ ไฮเดรตติ้งคลีนเซอร์ จะช่วยคืนความสมดุลและปรับสภาพผิว ช่วยให้ผิวอวบอิ่มและชุ่มชื้น ส่วนผิวธรรมดาก็ใช้คลีนเซอร์แบบเดียวกัน

คลีนเซอร์ 2 ใช้โฟมล้างหน้าที่มีความอ่อนโยน มีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) เหมาะสมกับผิว เช่น เจนเทิลคลีนซิ่งโฟม pH5.5 และมีส่วนผสมของน้ำมันอัลมอนด์ สควาลีน หรือไฮยาลูรอน ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ปรับผิวให้เรียบเนียน





คลีนเซอร์ 1 ควรใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยน เช่น คลีนซิ่งออยล์ และต้องไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายหรือส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน และเพื่อลดการระคายเคือง ควรใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สารที่ช่วยปลอบประโลมผิว และสารที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น วิตามินอี อลันโทอิน ทีทรี หรือเซราไมด์ เป็นต้น

คลีนเซอร์ 2 ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวได้ง่าย ควรใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว เช่น บีเอชเอคลีนเซอร์ ซึ่งมีส่วนผสมของซาลิไซลิกที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เคลียร์สิว รูขุมขนไม่อุดตัน



คลีนเซอร์ 1 เลือกคลีนเซอร์ที่ช่วยทำความสะอาดผิวพร้อมปรับปรุงปัญหาผิวที่เกิดขึ้น เช่น ริ้วรอย ความแห้งกร้าน ความหมองคล้ำ ผิวหย่อนคล้อย เป็นต้น คลีนเซอร์ที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดคือ คลีนซิ่งออยล์ ทำความสะอาดพร้อมให้ความชุ่มชื้นและปรับสมดุลผิว เลือกที่มีส่วนผสมของวิตามินและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยบำรุง ปกป้อง คืนความยืดหยุ่น และซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวให้สุขภาพดี

คลีนเซอร์ 2 หลีกเลี่ยงที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์สามารถดึงเอาน้ำมันในผิวออกมาได้ ให้มองหาคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A, C, E, เซราไมด์ และไฮยาลูรอน ซึ่งมีประโยชน์ในการต่อต้านริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น และดูแลเกราะป้องกันผิว

 

“ใช้เร็วแก่ช้า ใช้ช้าแก่เร็ว”

     เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยได้มีกระแส “ทากันแดด 2 ข้อนิ้ว” เป็นการปลุกวิธิการทากันแดดที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา ซึ่งกันแดด 2 ข้อนิ้วนั้นอ้างอิงมาจากมาตรฐานการวัดค่าการป้องกันแสงแดดจาก UVA และ UVB ใช้วิธีทดสอบทาครีมกันแดด 2mg/cm2 ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้วจะได้ปริมาณครีมกันแดด 0.7 กรัม* หรือ 2 ข้อนิ้วแบบเต็มๆ นั่นเอง

Note: อ่านบทความ “ไขข้อสงสัย ทากันแดด 2 ข้อนิ้ว ปกป้องผิวดีที่สุด จริงหรือ?” ได้ที่ https://www.tnpoem.com/content/6015/sunscreen-2ftu

     การทาครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิวทุกวันเปรียบเสมือนการลงทุนระยะยาวสำหรับผิว ผลลัพธ์หลังจากทากันแดดมา 10 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับผิวที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดจะแตกต่างกันอย่างมาก ผิวที่ทากันแดดทุกวันจะอ่อนเยาว์กว่าอย่างเห็นได้ชัด และตลอดระยะเวลา 10 ปี กันแดดยังช่วยป้องกันอันตรายจากมะเร็งผิวหนังอีกด้วย จึงขอยกให้กันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยอันดับหนึ่งที่ควรใช้ทุกเช้าก่อนออกแดด

Tip: ควรใช้กันแดดเมื่อใหร่? ก่อนออกแดด 15-20 นาที และลำดับการใช้คือ มอยซ์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด และเมคอัพ

ข้อดีของการทากันแดด 2 ข้อนิ้ว
  • ป้องกันรังสี UV ได้เต็มประสิทธิภาพ โดย SPF50+ ป้องกัน UVB ได้มากกว่า 98% และค่า PA++++ ป้องกัน UVA ได้มากกว่า 16 เท่า
  • ลดความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง
  • ผิวไม่หมองคล้ำ
  • ชะลอผิวแก่

เลือกกันแดดให้เหมาะกับผิว



เลือกใช้กันแดดที่เป็นสูตรน้ำ หรือที่ระบุว่าบางเบาเป็นพิเศษ เช่น Dry Touch Sunscreen, Watery Sunscreen หรือ Light Sunscreen และมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน เช่น ซิงค์พีซีเอ วิตามินบี3 ชาเขียว เป็นต้น นอกจากนี้หลีกเลี่ยงกันแดดที่มีสารก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน



เลือกใช้กันแดดที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นผิว เช่น ไฮยาลูรอน กลีเซอรีน หรือเซราไมด์ เป็นต้น โดยส่วนมากกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้นดีจะอยู่ในลักษณะเนื้อครีม เช่น Moisturizer Sunscreen



ผิวธรรมดาได้เปรียบสภาพผิวแบบอื่นๆ สามารถเลือกใช้กันแดดรูปแบบใดก็ได้ เน้นไปที่ค่าป้องกันแสงแดดที่สูงและครอบคลุม และอาจมองหากันแดดที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์



เลือกใช้กันแดดชนิดกายภาพที่มีความบางเบา เนื่องจากมีความระคายเคืองน้อยกว่ากันแดดแบบอื่น เช่น Physical Sunscreen, Mineral Sunscreen หรือ Mild Sunscreen ต้องปราศจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม เป็นต้น และปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว นอกจากนี้อาจมีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการระคายเคืองและปลอบประโลมผิว เช่น วิตามินบี3 อลันโทอิน กลูแคน แพนทีนอล และมาเดคาสโซไซด์ เป็นต้น

 

“ตัวแม่แห่งการดูแลผิว”

ยังมีอีกหลายคนมากที่ละเลยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งความจริงแล้วเป็นสกินแคร์ที่สำคัญกับผิวสุดๆ หรือจะเรียกว่าตัวแม่แห่งการดูแลผิวเลยก็ว่าได้ มอยเจอร์ไรเซอร์ คือ สกินแคร์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก ผลลัพท์ที่ตามมาคือผิวนุ่ม ชุ่มชื้น เกราะป้องกันผิวแข็งแรง ผนึกรอยแห้งแตกบนผิวหน้าให้กลับมาเรียบเนียน คงความชุ่มชื้นในผิวให้นานขึ้น ดีขนาดนี้ไม่ว่าสภาพผิวแบบไหนก็ต้องทาทุกวัน

Tip: ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังล้างหน้า

ข้อดีของการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์

  • ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ
  • เสริมเกราะป้องกันผิว
  • ฟื้นฟูผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ
  • สภาพผิวหน้าโดยรวมดีขึ้น
  • ชะลอผิวแก่

 

เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว



เลือกมอยส์เจอไรเซอร์สูตรที่ปราศจากน้ำมัน เช่น Moisturizer Gel เนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ส่วนผสมที่แนะนำคือ ไฮยาลูรอน จะช่วยล็อคความชุ่มชื้นไว้ในผิว



ผิวแห้งควรใช้ Moisturizer Cream มีทั้งส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ส่วนผสมที่แนะนำ เช่น ไฮยาลูโรเนต ว่านหางจระเข้ ดอกคาโมไมล์ และเซราไมด์ จะช่วยให้ผิวเปล่งประกายและเรียบเนียน

 


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบใดก็ได้ที่เน้นความบางเบา ไม่หนักผิว อาจจะเป็นรูปแบบ Gel Cream ก็ได้เช่นกัน หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

 


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารระคายเคืองผิว หรือที่ผ่านการทดสอบการระคายเคือง (Dermatological Tested) ส่วนผสมที่แนะนำ เช่น ข้าวโอ๊ต เซราไมด์ ไนอาซินาไมด์ และกลีเซอรีน



เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผสมสารต่อต้านริ้วรอยและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น เรตินอล ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นพร้อมชะลอผิวแก่ เสริมการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน

 

“ผิวเก่าไป ผิวใหม่มา”

ใครที่ยังใช้สครับเม็ดใหญ่ขัดหน้า ขอให้หยุดทำด่วน! การใช้สครับเม็ดใหญ่ขัดผิวหน้าจะทำให้เกราะป้องกันผิวเสียหาย ทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ โดยทั่วไปผิวปกติจะมีการผลัดเซลล์ผิวใน 28 วัน แต่ถ้าหากผิวเกิดทำงานผิดปกติก็อาจทำให้การผลัดเซลล์ผิวล่าช้าออกไป จนบางทีเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมเป็นชั้นหนาเกิดการอุดตัน ผิวหมองคล้ำ หยาบกร้าน บำรุงแค่ไหนก็ไม่ซึมเข้าผิว วิธีที่ตอบโจทย์ที่ดีที่สุดคือการใช้สารผลัดเซลล์ผิวแบบเคมี หรือก็คือใช้กลุ่ม AHA BHA PHA และ LHA นั่นเอง

HA หรือ Hydroxy Acid เป็นสารผลัดเซลล์ผิวแบบเคมี มีความสามารถในการสลายเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนชั้นผิว เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียน เปลี่ยนผิวที่หมองคล้ำให้กระจ่างใส และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ไปพร้อมๆ กัน มี 4 กลุ่ม ได้แก่

AHA (Alpha Hydroxy Acid)
ได้แก่ กรดไกลโคลิก กรดแลคติก กรดทาร์ทาริก กรดซิตริก กรดมาลิก และกรดแมนเดลิก

  • มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดด ช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิว ผิว
  • กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ และลดเลือนริ้วรอย
  • เหมาะกับผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวสูงวัย และผิวหยาบกร้าน เนื่องจากผิวมีการขาด
  • น้ำและ AHA มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี จึงช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้นได้
  • ระคายเคืองต่อผิวมากที่สุดใน HA แนะนำเริ่มใช้ที่ปริมาณน้อยก่อน
  • ใช้กันแดดด้วยทุกครั้ง เพราะการขัดผิวด้วยกรด AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น


BHA (Beta Hydroxy Acid)
ได้แก่ กรดซาลิไซลิก

  • มีคุณสมบัติละลายน้ำมัน
  • ซึมผ่านชั้นผิวได้ลึกกว่า AHA ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและลดการผลิตน้ำมัน
  • ช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลง ช่วยลดการอักเสบของสิว ลดสิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • เหมาะกับผิวมันและผิวมีสิว
  • ระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า AHA แต่ยังมากกว่า LHA และ PHA


LHA (Lipo Hydroxy Acid) 
อนุพันธ์ของกรดซาลิไซลิก ได้แก่ Capryloyl Salicylic Acid

  • มีคุณสมบัติละลายน้ำมัน และละลายได้ดีกว่า BHA
  • ซึมเข้าสู่ผิวได้ช้าจึงมีความอ่อนโยนกว่า BHA ช่วยยับยั้งการเกิดสิวได้
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่ายและผิวมีสิว
  • ระคายเคืองน้อยมาก


PHA (Poly Hydroxy Acid) 
ได้แก่ กลูโคโนแลคโตน กรดแลคโตไบโอนิก และกรดมอลโทไบโอนิก 

  • มีคุณสมบัติละลายน้ำ
  • มีโครงสร้างโมเลกุลที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับ AHA ส่งผลให้ซึมผ่านผิวได้น้อยลงและทำงานช้าลง
  • ช่วยคงความชุ่มชื้นผิว ป้องกันริ้วรอย ลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูผิวที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดด ไม่ไวต่อแสงเหมือน AHA
  • pH ใกล้เคียงกับผิว มีความอ่อนโยนที่สุดใน HA
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • ระคายเคืองน้อยมาก


รวมข้อดีของการผลัดเซลล์ผิวด้วย AHA BHA PHA LHA

  • ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก
  • คงความชุ่มชื้นให้ผิว
  • เซลล์ผิวใหม่ที่ขึ้นมามีความกระจ่างใส เรียบเนียน
  • ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
  • ลดเลือนริ้วรอย
  • ต่อต้านแบคทีเรียและต้านการอักเสบ
  • ป้องกันและดูแลสิว

Tips:

  • การขัดผิวด้วยกรดควรทำไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย 
  • สัญญาณของการขัดผิวมากเกินไป ได้แก่ การระคายเคือง รอยแดง การลอก
  • ควรใช้ความระมัดระวังเมื่อใช้กรดรอบดวงตาและลำคอ เนื่องจากกรดอาจแรงเกินไปสำหรับผิวในบริเวณเหล่านี้ 
  • ไม่ควรใช้พร้อมกับเรตินอยด์ เพราะเป็นสารผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน

“ให้ผิวได้หยุดหายใจ”

     โดยเฉลี่ยผู้หญิงใช้เวลาประมาณ 2 ปี ในชีวิตกับการแต่งหน้า ข้อดีของการแต่งหน้านั้นช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้น แต่การแต่งหน้าต่อเนื่องทุกวันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก อาจทำให้สภาพผิวเสื่อมโทรมได้ เพราะการแต่งหน้าอาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและปิดกั้นออกซิเจนไม่ให้เข้าสู่ผิว หรือก็คือผิวไม่สามารถหายใจได้นั่นเอง และนอกจากนี้การปัดมาสคาร่ามากเกินไปอาจทำให้ขนตาดูบางลงได้ จึงต้องมีการพักหน้าบ้าง ให้สภาพผิวหน้ากลับมาดีดังเดิม การหยุดพักหน้าจะช่วยให้ผิวสามารถเติมความชุ่มชื้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยขับเมกอัพที่ตกค้างบนผิวออกได้ แนะนำให้พักหน้า 2 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้เต็มที่

ข้อดีของการพักหน้า

  • ผิวได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ซึ่งออกซิเจนจะช่วยผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินมาฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรม
  • เสริมความแข็งแรงของขนตา เนื่องจากมีการหยุดใช้มาสคาร่าและรีมูฟเวอร์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ลดโอกาสรูขุมขนอุดตันจนก่อให้เกิดสิวและผิวขาดน้ำ
  • ผิวหมองคล้ำกลับมาดูกระจ่างใส
  • ปรับสมดุลให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ชะลอผิวแก่ เนื่องจากอายไลเนอร์และคอนซีลเลอร์มีส่วนให้ริ้วรอยชัดขึ้น
  • ฟื้นฟูแบคทีเรียดีบนผิว
  • ประหยัดเงินและเวลา

3 สกินแคร์ที่ห้ามพัก

สกินแคร์ 1 คลีนเซอร์ ถึงผิวจะอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่มลภาวะที่เป็นพิษกับผิวยังเข้ามาเกาะติดผิวอยู่ตลอดเมื่อเราออกไปทำธุระนอกบ้าน เช่น pm2.5 ฝุ่น ควันจากท่อไอเสีย โลหะหนักที่เจือปนในอากาศ จึงจำเป็นต้องทำความสะอาดผิวอยู่ทุกวันเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป

สกินแคร์ 2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เติมความชุ่มชื้นให้ผิว เป็นอีกตัวช่วยที่ทำให้ผิวกลับมาสุขภาพดีเร็วขึ้น

สกินแคร์ 3 กันแดด จะออกจากบ้านต้องทากันแดดเสมอ เพราะรังสีUV เป็นตัวร้ายระดับVIP ที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดีเหมือนเดิมนั้นนานมาก

 

หวังว่าทริคดูแลผิวหน้าทั้ง 5 วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่สุขภาพดีได้นะคะ ครั้งหน้า TNP จะมีทริคดีๆ อะไรมาแชร์อีกรอติดตามได้เลยค่ะ!

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้