Last updated: 4 พ.ค. 2566 | 1716 จำนวนผู้เข้าชม |
เดินทางมาถึง EP.11 กันแล้วนะคะ วันนี้เราอยู่ที่หัวข้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดค่ะ TNP จะมาเฉลยทุกข้อสงสัยว่าทำไมถึงต้องปกป้องผิวของเราจากแสงแดด ประเภทของรังสียูวีที่มีผลกระทบต่อผิว พร้อมแนะนำประเภทของสารกันแดดต่างๆ ค่ะ
ผิวที่สัมผัสกับแสงแดดที่มีค่าดัชนียูวี (UV Index) ตั้งแต่ 7 ขึ้นไปในระยะสั้นอาจทำให้เกิดรอยแดง ระคายเคือง ไหม้แดด และผิวคล้ำในที่สุด ส่วนในระยะยาวเมื่อมีการสัมผัสแสงแดดสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย มีผลกระทบต่อดวงตา และร้ายแรงที่สุดคือเป็นมะเร็งผิวหนัง ในหน้าร้อนของประเทศไทยนั้นในบางพื้นที่ค่าดัชนียูวีที่วัดได้อยู่ในช่วง 11-14 ซึ่งเป็นระดับที่สูงจัด (Extreme) โดยส่วนมากคนไทยมีสีผิวประเภทที่ 3 (Skin Type III) เมื่อออกไปสัมผัสแสงแดดที่สูงจัดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผิวหนังเกรียมแดดได้ภายใน 30 นาที และคนที่มีผิวขาวประเภทที่ 1 (Skin Type I) รวมไปถึงผิวของเด็กทารกสามารถทนแดดจัดได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น ด้วยเหตุเหล่านี้การป้องกันแสงแดดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในปัจจุบันสารป้องกันแสงแดดไม่เพียงอยู่ในรูปแบบของครีมกันแดดเท่านั้น ในหลายๆ ผลิตภัณฑ์ได้มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โลชั่นให้ความชุ่มชื้นผิว รองพื้น ลิปสติก และผลิตภัณฑ์ดูแลผม เพื่อคงสุขภาพดีให้อยู่ได้อย่างยาวนาน
ในดวงอาทิตย์มีอะไร?
ดวงอาทิตย์ของเรานั้นปล่อยพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแยกย่อยออกเป็นรังสีต่างๆ โดยมีความยาวคลื่น ความถี่ และพลังงานเป็นตัวกำหนด ประเภทของรังสีเรียงตามพลังงานจากน้อยไปมากมีดังนี้
1.คลื่นวิทยุ (Radio Waves)
2.คลื่นไมโครเวฟ (Microwave)
3.รังสีอินฟราเรดหรือรังสีไออา (Infrared/IR)
4.แสงขาวหรือแสงที่ตามองเห็น (Visible Light)
5.รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet/UV)
6.รังสีเอ็กซ์ (X-Rays)
7.รังสีแกมมา (Gamma Rays)
8.รังสีคอสมิก (Cosmic Rays)
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาถึงโลกมีเพียงรังสียูวี แสงขาว รังสีไออา คลื่นไมโครเวฟ และคลื่นวิทยุ ในบรรดารังสีที่มาถึงพื้นผิวโลก รังสียูวีมีพลังงานสูงสุด ยิ่งพลังงานสูงยิ่งทำลายผิวหนังเราได้มาก ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันรังสียูวีอย่างมาก
รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet:UV)
อย่างที่ได้กล่าวไปว่ารังสียูวีมีพลังงานมากที่สุด และด้วยพลังงานที่มากก็ยิ่งมีอันตรายมากเช่นกัน
รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1.รังวียูวีเอ (UVA) ถูกดูดซับที่ชั้นโอโซนน้อยมาก ในแสงแดดมีประมาณ 95% ที่ผ่านลงมาถึงพื้นโลก มีความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร ทะลุผ่านผิวหนังได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ และที่สำคัญทะลุผ่านกระจกได้ ดังนั้นแม้ในวันที่ไม่มีแดดเราก็จะได้รับรังสียูวีเอเต็มๆ อยู่ดี รังสียูวีเอแยกย่อยได้เป็น UVA-I (320–340 นาโนเมตร) และ UVA-II (340–400 นาโนเมตร) เป็นปัจจัยหลักในการเกิดริ้วรอยแก่ย่น และก่อมะเร็งผิวหนัง หลอดไฟบางชนิดสามารถปล่อยรังสียูวีเอได้มากถึง 12 เท่าของแสงแดด
ผลกระทบระยะสั้น: ผิวดำคล้ำ
ผลกระทบระยะยาว: เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ ผิวหมองคล้ำ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง มะเร็งผิวหนัง
ช่วงเวลาที่ปลอยรังสี: ยูวีเอจะปล่อยพลังงานเท่าเดิมตลอดทั้งวัน ไม่มีวันหยุดพัก
2.รังสียูวีบี (UVB) ถูกดูดซับที่ชั้นโอโซน 90% ในแสงแดดมีประมาณ 5% ที่ผ่านลงมาถึงพื้นโลก มีความยาวคลื่น 280-320 นาโนเมตร ทะลุผ่านผิวหนังชั้นกำพร้าได้ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวเกรียมแดด ซึ่งเป็นการทำลายผิวอย่างเฉียบพลันจนเกิดเป็นรอยแดง นอกจากนี้ยังได้รับการระบุว่าเป็นปัจจัยหลักในการเกิดมะเร็งผิวหนัง ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้
ผลกระทบระยะสั้น: ผิวเกรียมแดด มีอาการแสบร้อนและแดง
ผลกระทบระยะยาว: เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ มะเร็งผิวหนัง มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อดี: ช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในผิวช่วงเวลาที่ปลอยรังสี: 09.00-15.00 น.
3.รังสียูวีซี (UVC) ถูกดูดซับที่ชั้นโอโซน 100% ไม่สามารถทะลุผ่านมายังโลกได้ มีความยาวคลื่น 100-280 นาโนเมตร
รู้หรือไม่ Did You Know?
UVA ตัว “A” แทนคำว่า Aging หมายถึง ผิวแก่มีริ้วรอย
UVB ตัว “B” แทนคำว่า Burning หมายถึง ผิวแสบแดงร้อน
UVC ตัว “C” แทนคำว่า Carcinogenic หมายถึง ก่อมะเร็ง
ทั้ง 3 รังสีก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่ UVC ก่อมะเร็งมากที่สุด เช่น หลอดไฟยูวีซีสำหรับฆ่าเชื้อโรค
ความสามารถในการป้องกันรังสียูวีบี (Sun Protection Factor: SPF)
Sun Protection Factor หรือที่คุ้นเคยกันก็คือค่า SPF เป็นค่าที่แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันการไหม้แดงของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีบี ในการวัดค่า SPF จะเปรียบเทียบผิวที่ทากันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร และผิวที่ไม่ได้ทากันแดดแล้วทำการสังเกตรอยแดง (Erythema) ที่เกิดขึ้นหลังจากโดนแสงยูวี
สูตรคำนวณค่า SPF
Sun protection factor (SPF) = MED with sunscreen/MED without sunscreen
*Minimal Erythemal Dose (MED) ปริมาณของแสงยูวีที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงเนื่องจากแสงแดด
ตามกฎหมายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ควรจะต้องมีค่า SPF อยู่ระหว่าง 6-50 ค่า SPF มากกว่า 50 จะต้องแสดง “เอสพีเอฟ 50+” หรือ “SPF 50+” โดยมีระดับการแสดงค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวีบี ดังนี้
ตามปกติผิวของคนเราจะทนแสงแดดได้ประมาณ 10-20 นาที หลังจากนั้น 2-6 ชั่วโมง ผิวจะเริ่มแสดงอาการไหม้แดด ซึ่งช่วงเวลาไหม้แดดแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภทผิว สภาพผิว และดัชนียูวีแต่ละช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น ค่า SPF 15 ก็จะหมายถึง ปกป้องแสงแดดได้ 15 เท่า ผิวทนแสงแดด 10 นาที ก็จะได้ 15*10 เท่ากับ 150 นาที หมายความว่าครีมกันแดดขวดนี้จะช่วยป้องกันผิวของเราได้นาน 150 นาที
รู้หรือไม่ Did You Know?
อ้างอิงจากกฎการทากันแดดที่ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร เราจะต้องทากันแดดประมาณ 30 กรัม เพื่อปกป้องผิวทั่วร่างกาย (รวมแขนขา หู คอ หู และใบหน้า) ซึ่งปริมาณนี้จะเท่ากับแก้วช็อต 1 แก้ว หรือถ้าเป็นใบหน้าอย่างเดียวใช้กันแดดประมาณ ¼ ช้อนชา หรือ 2 ข้อนิ้ว หรือจะ 1 เหรียญสิบก็ได้ค่ะ
ความสามารถในการป้องกันรังสียูวีเอ (Protection Grade of UVA: PA)
PA หรือ UVAPF หมายถึง ค่าที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Cosmetic Industry Association, JCIA, 1996) ได้กำหนดขึ้น แสดงถึงความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันอาการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีเอ โดยใช้เครื่องหมายบวก (+) แสดงระดับของประสิทธิภาพ
การป้องกันรังสียูวีช่วงกว้าง (Broad Spectrum Protection)
คำว่า “Broad Spectrum” หมายถึงการป้องกันรังสียูวีช่วงกว้างที่ครอบคลุมทั้งยูวีเอและยูวีบีของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงนั้นไม่สามารถป้องกันรังสียูวีเอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งยูวีเอเป็นตัวการที่ทำให้เกิดริ้วรอยและการก่อตัวของมะเร็งผิวหนัง ดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันรังสีทั้ง 2 ประเภทอย่างคลอบคลุม
ความสามารถในการกันน้ำ (Water Resistance)
“Water Resistance” ความสามารถในการกันน้ำ หรือ เป็นข้อความที่แสดงให้ผู้ใช้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดประเภทนี้ยังคงสภาพ SPF ตามที่กำหนดเมื่อทาผลิตภัณฑ์แล้วมีการแช่น้ำ ซึ่งความสามารถในการกันน้ำแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
1.ความสามารถในการกันน้ำ (Water Resistance) เป็นระดับการกันน้ำของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ที่ผ่านการทดสอบตามวิธีมาตรฐาน โดยวิธีทดสอบกำหนดให้ต้องแช่น้ำรวมทั้งสิ้น 40 นาที
2.ความสามารถในการกันน้ำสูง (Very Water Resistance) เป็นระดับการกันน้ำของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ที่ผ่านการทดสอบตามวิธีมาตรฐานโดยวิธีทดสอบกำหนดให้ต้องแช่น้ำรวมทั้งสิ้น 80 นาที
รู้หรือไม่ Did You Know?
กระทรวงสาธารณสุขจะไม่อนุญาตให้ระบุข้อความ “Waterproof” หรือ “Sweatproof” หรือ “Sunblocks” หรือ “Sunproof” บนฉลากของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด เนื่องจากอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในคุณสมบัติได้ เพราะไม่มีครีมกันแดดใดในปัจจุบันที่สามารถกันน้ำได้ 100% และกรองแสงได้ 100% นอกจากนี้ครีมกันแดดไม่สามารถเคลมว่าสามารถปกป้องแสงแดดได้นานกว่า 2 ชั่วโมงโดยไม่ต้องทาซ้ำ หรือให้การปกป้องทันทีหลังทา และกันแดดจะต้องมีลักษณะรูปแบบที่ใช้แล้วไม่ล้างออก (Leave on products) เท่านั้น
คุณสมบัติที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
จากมุมมองของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่ต้องการควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
16 ม.ค. 2567